เหล็กล้นตลาดงดให้บีโอไอ ‘รีดร้อน-ท่อข้อต่อ’โดนด้วย

26 พฤษภาคม 2568
เหล็กล้นตลาดงดให้บีโอไอ ‘รีดร้อน-ท่อข้อต่อ’โดนด้วย
วิกฤตอุตสาหกรรมเหล็กล้นเกิน BOI เรียก 10 สมาคมเหล็ก ทบทวนนโยบายเหล็กใหม่ มีมติต้องหยุดให้การส่งเสริมประเภทกิจการเหล็กเป็นการชั่วคราว ทั้ง 6 ประเภทกิจการเดิมตามประกาศ ส.6/2567 แถมพ่วงรายการใหม่ “เหล็กแผ่นรีดร้อน-เหล็กแผ่นหนา-ท่อเหล็ก” จนกว่า อัตราการใช้กำลังการผลิต (CapU) จะสูงขึ้น

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้รายงานแนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กในปี 2568 คาดการณ์ปริมาณการใช้งานเหล็กของไทยจะอยู่ที่ 16.2 ล้านตัน ขณะที่ราคาเหล็กโดยเฉลี่ยลดลงจากปีก่อน 4.8% โดยปริมาณการใช้งานเหล็กทรงยาว (Long Product อาทิ เหล็กเส้น-เหล็กแผ่น-เหล็กลวด) และเหล็กทรงแบน (Flat Steel) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 6.1 ล้านตัน กับ 10 ล้านตันตามลำดับ ขณะที่ราคาเหล็กมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยราคาเหล็กทรงยาวอยู่ที่ประมาณ 20,900 บาท/ตัน และเหล็กทรงแบนอยู่ที่ประมาณ 22,700 บาท/ตัน
ด้านการผลิตเหล็กไทยในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อยมาอยู่ที่ประมาณ 6.4 ล้านตัน จากการที่อุตสาหกรรมก่อสร้างที่ต้องใช้เหล็กทรงยาวขยายตัว ส่วนเหล็กทรงแบนแม้จะมีความต้องการใช้งานในประเทศเพิ่มขึ้น แต่ต้องเผชิญกับการแข่งขันจากเหล็กจีนราคาถูกที่ทะลักเข้ามาในประเทศอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การผลิตเหล็กของไทยตั้งแต่ปี 2565 คิดเป็นสัดส่วนเพียง 30-35% ของความต้องการใช้เหล็กในประเทศ และยังเป็นสัดส่วนที่ลดลงจากปี 2559-2564 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 35-40% โดยการผลิตเหล็กในประเทศที่ลดลงนั้นจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อ “อัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization Rate หรือ %CapU)” ในภาพรวมทั้งเหล็กกลางน้ำและเหล็กปลายน้ำ ที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 60%

โดยเฉพาะเหล็กแผ่นรีดร้อน ซึ่งเป็นเหล็กกลางน้ำ มีอัตราแค่ 32%CapU มาตั้งแต่ปี 2565 บางช่วงก็ต่ำกว่า 30%CapU ส่งผลให้ระดับวิกฤตของอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กไทยลดลงจากค่าเฉลี่ยที่ประมาณ 35-40% ในปี 2559-2564

การผลิตเหล็กในประเทศที่ลดลงจากการคำนวณอัตราการใช้กำลังการผลิต %CapU โดยมีเหล็กบางประเภทถูกผลิตออกมาล้นเกินความต้องการ ขณะที่เหล็กบางประเภทผลิตต่ำกว่ากำลังการผลิตโดยรวมของอุตสาหกรรมมาก ส่งผลให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ต้องกลับมาพิจารณานโยบายส่งเสริมการลงทุนในประเภทกิจการเหล็กใหม่ทั้งหมด ล่าสุดได้เรียก 10 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อขอความคิดเห็นในการปรับเปลี่ยนการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้

งด BOI เหล็กรีดร้อน-ท่อเหล็ก
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ BOI ได้เชิญผู้ผลิตอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศเข้าหารือเพื่อรับฟังความเห็นถึงกรณีที่ BOI มีการปรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่ หลังจากที่มีกิจการเหล็กบางประเภทได้หยุดการส่งเสริมเป็นการชั่วคราว เนื่องจากพบว่ามีสินค้าเหล็กที่ผลิตออกมาล้นตลาดส่งผลกระทบต่อการแข่งขัน โดยเฉพาะสินค้าเหล็กที่โอเวอร์ซัพพลาย (Oversupply) ที่มีมากกว่าเหล็กเส้นและเหล็กแผ่น ซึ่งเป็นการทยอยระงับการส่งเสริมการลงทุนมาแล้ว 2 รอบ

แต่ที่ผ่านมาก็ได้ทำงานอัพเดตกับภาคอุตสาหกรรมเหล็กมาโดยตลอดเกี่ยวกับสถานการณ์ของเหล็กแต่ละกลุ่มว่า “เป็นอย่างไร” เนื่องจากเหล็กมีหลากหลายประเภท ทั้งเหล็กก่อสร้าง เหล็กอุตสาหกรรม เหล็กเส้น เหล็กแผ่น รีดร้อน รีดเย็น ทุกสินค้ามีการผลิต การใช้ และความต้องการแตกต่างกัน ดังนั้น BOI จะต้องดูเป็นรายตัวสินค้าว่า สินค้าเหล็กประเภทใดที่ล้นตลาด สำหรับระยะเวลาของการหยุดส่งเสริมเป็นการชั่วคราวนั้นจะอยู่ที่ว่า เมื่อไรสถานการณ์กลับมาปกติ หรือมีดีมานด์มากกว่าซัพพลายก็สามารถกลับมาเปิดส่งเสริมการลงทุนใหม่ได้ ซึ่ง BOI ยังไม่ได้ถอดประเภทกิจการเหล็กออกจากบัญชีการส่งเสริมการลงทุน แต่จะพิจารณาตามสภาพตลาดเป็นหลัก

ทั้งนี้ ตามประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ที่ ส.6/2567 ณ วันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 ลงนามโดย นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการส่งเสริมการลงทุน เรื่องการปรับปรุงประเภทกิจการในอุตสาหกรรมเหล็ก เพื่อปรับปรุงเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุนการผลิตเหล็กขั้นกลางและขั้นปลายสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึงออกประกาศให้แก้ไขเพิ่มเติมเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ในประเภท 6 ประเภท คือ

1) กิจการผลิตเหล็กขั้นกลาง ได้แก่ Slab, Ingot, Billet และ Bloom อื่น ๆ ซึ่งได้สิทธิประโยชน์กลุ่ม A4 จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าการผลิต Billet ไม่ให้การส่งเสริมกรณีโครงการลงทุนใหม่ แต่กรณีโครงการที่ดำเนินการอยู่เดิม สามารถขอรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการยกระดับอุตสาหกรรม (Smart and Sustainable Industry) และมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาชุมชนและสังคมได้

2) กิจการผลิตเหล็กขั้นปลาย คุณภาพสูงชนิดเหล็กทนแรงดึงสูง (High Tensile Strength Steel) ที่ได้สิทธิประโยชน์กลุ่ม A2 กรณีกิจการผลิตลวดเหล็ก (Wire) ต้องมีค่า Ultimate Tensile Strength (UTS) ไม่น้อยกว่า 1,000 เมกะปาสคาล (MPa) กรณีอื่น ๆ ต้องมีค่า Ultimate Tensile Strength (UTS) ไม่น้อยกว่า 700 เมกะปาสคาล (MPa)

3) กิจการผลิตเหล็กทรงยาวสำหรับงานอุตสาหกรรม ได้แก่ เหล็กรูปพรรณ เหล็กเพลา เหล็กลวด และลวดเหล็ก ที่ได้สิทธิประโยชน์กลุ่ม B จะไม่ให้การส่งเสริมการลงทุนโครงการใหม่ แต่สามารถขอรับสิทธิตาม Smart and Sustainable Industry กับมาตรการพัฒนาชุมชนได้

4) กิจการผลิตเหล็กทรงยาวสำหรับงานก่อสร้าง ได้แก่ เหล็กรูปพรรณ เหล็กเพลา เหล็กลวด และลวดเหล็ก ที่ได้สิทธิประโยชน์กลุ่ม B เฉพาะกรณีเหล็กลวดที่ใช้ในงานก่อสร้างจะไม่ให้ส่งเสริมการลงทุนใหม่ แต่ขอรับสิทธิตาม Smart and Sustainable Industry กับมาตรการพัฒนาชุมชนได้

5) กิจการผลิตเหล็กทรงแบนสำหรับงานอุตสาหกรรม ได้แก่ เหล็กแผ่น ไร้สนิมรีดร้อนหรือรีดเย็น เหล็กแผ่นหนา เหล็กแผ่นรีดร้อน หรือรีดเย็น และเหล็กแผ่นเคลือบ ที่ได้สิทธิประโยชน์กลุ่ม B เฉพาะกรณีเหล็กแผ่นรีดร้อนในงานอุตสาหกรรม จะไม่ให้การส่งเสริมการลงทุนใหม่ แต่สามารถขอรับสิทธิตาม Smart and Sustainable Industry กับมาตรการพัฒนาชุมชนได้

และ 6) กิจการผลิตเหล็กทรงแบนสำหรับงานก่อสร้าง ได้แก่ เหล็กแผ่น ไร้สนิมรีดร้อนหรือรีดเย็น เหล็กแผ่นหนา เหล็กแผ่นรีดร้อน หรือรีดเย็น และเหล็กแผ่นเคลือบ ที่ได้สิทธิประโยชน์กลุ่ม B เฉพาะกรณีเหล็กแผ่นรีดร้อนในงานก่อสร้าง จะไม่ให้การส่งเสริมการลงทุนใหม่ แต่สามารถใช้สิทธิตาม Smart and Sustainable Industry กับมาตรการพัฒนาชุมชนได้

ตามประกาศที่ ส.6/2567 BOI จะหยุดในการส่งเสริมการลงทุนเป็นการชั่วคราว เพื่อทำการทบทวนว่า รายการใดจะหยุดให้การส่งเสริมการลงทุนเป็นการถาวร รวมไปถึงการพิจารณาประเภทสินค้าผลิตภัณฑ์เหล็กชนิดอื่น ๆ ด้วย ส่วนในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนครั้งล่าสุด (บอร์ด BOI) ที่ประชุมมีมติให้งดส่งเสริมกิจการเหล็กขั้นปลายเพิ่มเติมจากเดิม (ประกาศที่ ส.6/2567) ในกิจการผลิตเหล็กทรงยาวทุกชนิด เหล็กทรงแบน (เฉพาะเหล็กแผ่นรีดร้อนและเหล็กแผ่นหนา) และกิจการผลิตท่อเหล็กชนิดต่าง ๆ

CapU ต่ำ 30% เลิกให้ BOI
นายวิโรจน์ โรจน์วัฒนชัย ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย กล่าวในภาพรวมถึงการทบทวนการให้สิทธิประโยชน์ประเภทกิจการเหล็ก “สถาบันเห็นด้วยกับทาง BOI” เพราะปัจจุบันสินค้าเหล็กมีปัญหาเรื่องโอเวอร์ Capacity รวมถึงสงครามการค้า การขยายกำลังการผลิตจนเกินตัวจะเป็นอันตรายเหมือนที่ปรากฏในระดับโลก อย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังมีเหล็กหลายชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหล็กคุณภาพสูง

สำหรับการผลิตสินค้าเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น เหล็กสำหรับการก่อสร้างสมัยใหม่ในการลดปัญหาสิ่งแวดล้อม หรือเหล็กที่มีความแข็งแรงและเบาขึ้นสำหรับการผลิตยานพาหนะสมัยใหม่ ซึ่งถ้าเป็นสินค้าที่ช่วยในการรักษาสิ่งแวดล้อม หรือสินค้าเหล็กที่รองรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ในส่วนนี้เชื่อว่า BOI ยังสามารถพิจารณาให้การส่งเสริมการลงทุนได้ แต่ BOI ต้องควบคุมและลดการส่งเสริมการลงทุนสินค้าเหล็กที่ล้นตลาดอยู่แล้ว “ต้องถือว่าเป็นวิธีการที่ถูกต้องที่จะใช้กับอุตสาหกรรมเหล็กต่อไป” นายวิโรจน์กล่าว

ด้าน นายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ทาง 10 สมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทยได้เข้าไปให้ความคิดเห็นถึงการทบทวนนโยบายส่งเสริมการลงทุนประเภทกิจการเหล็กกับ BOI โดยสมาชิกสมาคมมีการผลิตเหล็กครอบคลุมทั้งเหล็กขั้นกลาง-ขั้นปลาย มีบางสมาคมอย่างในกลุ่มผู้ผลิตท่อเหล็กให้ความเห็นไม่ขอรับส่งเสริมการลงทุนอีก

บางสมาคมเห็นว่า ประเภทกิจการที่ทำการผลิตอยู่ในปัจจุบันไม่จำเป็นที่จะต้องให้การส่งเสริมการลงทุนอีกต่อไปแล้ว เพราะมีการผลิตล้นเกิน (Oversupply) แต่ต้องเปิดให้การส่งเสริมเฉพาะเหล็กที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ยกตัวอย่าง การผลิตเหล็กเคลือบกระป๋องในปัจจุบันไม่ต้องให้การส่งเสริมแล้ว แต่ถ้ามีเทคโนโลยีในการเคลือบแบบใหม่ต้องเปิดให้ส่งเสริมการลงทุนต่อ หรืออย่างเหล็กเส้นก็ได้หยุดให้การส่งเสริมการลงทุนมานานแล้ว

แหล่งข่าวในวงการเหล็กกล่าวว่า ที่ผ่านมา BOI ให้การส่งเสริมการลงทุนประเภทกิจการเหล็กตามเกณฑ์ที่ประกาศออกมา หรือเรียกว่า “ผู้ประกอบการรายใดเข้าเกณฑ์ขอ สามารถยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนได้” โดย BOI ไม่ได้พิจารณาในกรณีที่ว่า ให้การส่งเสริมการลงทุนไปแล้วปริมาณเหล็กที่ผลิตออกมาล้นตลาดหรือไม่ หรือขอรับส่งเสริมการลงทุนอย่างหนึ่ง แต่นำไปผลิตเป็นสินค้าเหล็กอีกประเภทหนึ่งในกรณีของโรงงานผลิตเหล็กเส้นจีนที่มีปัญหาเรื่องมาตรฐานเหล็กอยู่ในปัจจุบัน

“มีข้อเสนอว่า ถ้าการผลิตเหล็กรายการใดในปัจจุบันที่มีอัตราการใช้กำลังการผลิต (Capacity Utilization Rate หรือ %CapU) ต่ำกว่า 30% ก็ไม่มีความจำเป็นที่ BOI จะให้การส่งเสริมการลงทุนอีก เพราะเหล็กประเภทนั้นกำลังล้นตลาด เท่ากับเป็นการเพิ่มจำนวนโรงงานผู้ผลิตขึ้นมาอีก ซึ่งการคำนวณ %CapU 35-40% ในอดีตทางกระทรวงอุตสาหกรรมเคยใช้เป็นเกณฑ์ในการห้ามตั้งขยายโรงงานเหล็กเส้นมาแล้ว”
แหล่งที่มา : ประชาชาติธุกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.